ถ้ารู้จริง
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ขออนุญาตแทรก”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกขออนุญาตไปวัดไปเยี่ยมได้ไหมเจ้าคะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : เขาเขียนมา เราบอก ไม่ได้ ไม่ควร
“กราบขออนุญาตไปวัดไปเยี่ยมได้ไหมคะ”
ไม่ได้นะ เพราะว่าวัดมันมีเยอะ วัดมีทั่วประเทศไทย แล้วก็แสวงหาอยู่แล้วไปวัดที่ดีงามแล้วกัน เพราะว่ามันยืดเยื้อมานาน จบไปแล้ว ไม่ได้ ไม่ต้องมา ไปหาวัดที่มันสะดวก วัดที่มันพอใจพอ จบ
นี่เราเข้าเรื่องของเราแล้ว
ถาม : เรื่อง “นิพพานแล้วไปไหน”
หลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ละสังขารแล้วไปไหนคะ
ตอบ : จะไปไหน ถ้าไปไหนก็ต้องไปถามพระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะได้เอตทัคคะเป็นผู้เลิศในทางรู้วาระจิต ถ้าพระอนุรุทธะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งหมดถามว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่นิพพานแล้วหรือ
พระอนุรุทธะบอกว่ายัง พระอนุรุทธะบอกว่ายังนะ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ถอยไปถอยกลับ แล้วมานิพพานเอาระหว่างรูปฌาน อรูปฌาน
นั่นพระอนุรุทธะตามกำหนดรู้ตลอดเวลา ถ้าจะถามต้องถามพระอนุรุทธะ
“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายละสังขารแล้วไปไหน”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระอนุรุทธะก็ปรินิพพานไปแล้ว แล้วถามนี่ใครจะตอบล่ะ ถ้าไปถามแล้วมันอยู่ที่วุฒิภาวะของคน วุฒิภาวะของคนอ่อนด้อยก็พูดไปตามความเห็นของตน ถ้าเป็นทฤษฎีก็ว่าตามทฤษฎีนั้น แล้วผู้ที่รู้จริงจบ ถ้ารู้จริงแล้วมันจบแล้ว ถ้ารู้ไม่จริงมีปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น คำว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ละสังขารแล้ว” นี่พูดถึงว่านิพพานแล้วไปไหน นิพพานแล้วไปไหน
นี่เป็นสิ่งที่สูงสุด สิ่งที่ปรารถนาของชาวพุทธเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยก็ปรารถนาพระโพธิญาณ ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ ปรารถนาเป็นศาสดา ปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทีนี้สิ้นสุดแห่งทุกข์ พอสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วก็จบไง ถ้ารู้จริงแล้วมันจบ ถ้ารู้จริงนะ
ถ้ารู้ไม่จริง ทางทฤษฎีขึ้นมา เพราะเรารู้ไม่จริง พอรู้ไม่จริงขึ้นมาเราก็ต้องแบบว่าอยากจะวิเคราะห์วิจัย ว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าวิเคราะห์วิจัย ยิ่งวิเคราะห์วิจัยมันก็ยิ่งมีปัญหาไปเรื่อย
ฉะนั้น สิ่งที่ว่านิพพานแล้วไปไหน
ถ้าเขารู้จริงแล้วจบ รู้จริงแล้วจบ ถ้ารู้จริงนะ ถ้ารู้ไม่จริงมีปัญหาเยอะแยะไปหมด
มีปัญหา หมายความว่า คนที่ความรู้แค่หางอึ่งก็พูดได้แค่หางอึ่ง คนที่ความรู้มากน้อยแค่ไหนก็พูดได้แค่ความรู้ของตน ถ้าความรู้ของตน ความรู้ของตนนั่นน่ะคือนิพพาน พอเดี๋ยวความรู้มันแตกขยายไปก็ โอ๋ย! นิพพานกูขยับแล้ว นิพพานมันเพิ่มมากขึ้นแล้ว นิพพานก็เลยมีปัญหาไปหมดเลย
นิพพานคือนิพพาน นิพพานก็คือจบ จบแล้ว รู้จริงแล้วจบ รู้จริงแล้วนิ่งเงียบ รู้จริงเป็นความจริงอันนั้น แล้วความจริงนี้ประเสริฐมาก ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐในหัวใจของผู้ที่รู้จริงนั้น จบ
ถาม : เรื่อง “เพียงแค่นิ่งก็สร้างโอกาสมหาศาล”
ตอบ : คำถามแต่ละคำถามมันถามมา คำถามที่แล้วมันก็เป็นคำถามแค่ความสงสัย ถ้าแค่ความสงสัยแล้ว
นิพพานแล้วไปไหน
นิพพานแล้วมีความสุขมาก นิพพานแล้วสิ้นสุดแห่งทุกข์ นิพพานแล้วเป็นธรรมธาตุ นิพพานหลุดพ้นไปจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสรรพสิ่งทั้งสิ้น นั่นถ้านิพพานแล้วไปไหน จบ
ไอ้นี่บอกว่า “เพียงแค่นิ่งก็สร้างโอกาสมหาศาล”
ถ้าเพียงแค่นิ่งแล้วก็สร้างโอกาสมหาศาล ก็สร้างโอกาสมหาศาลแล้วมันก็จบไง แต่คำถามเขียนมาสองสามหน้า สองสามหน้านี้เป็นเรื่องของชีวิตโลก เรื่องของความเป็นอยู่ เรื่องของการทำธุรกิจ มีปัญหามากมายเลย มีปัญหามากมายเลย
ถ้ามีปัญหามากมายมันก็เป็นปัญหาโลกไง เวลาปัญหาโลก เวลาหลวงตาท่านสอนเวลาประพฤติปฏิบัตินะ โลกกับธรรมๆ ถ้าโลกก็คือโลกนั่นแหละ แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติก็มาจากโลก
เวลาเราเกิดมาเกิดจากพ่อจากแม่ใช่ไหม เวลาเราเกิดจากพ่อจากแม่ขึ้นมา นี่เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา เราเกิดมาเกิดเป็นโลกสมมุติ โลกสมมุติก็เกิดจากที่เรานี่แหละ
ถ้าที่เราแล้ว ถ้าเราขาดสติเราขาดปัญญา เราก็แสวงหากับทางโลก แสวงหาทางโลกมันก็มีบุญมีบาปนะ ถ้าคนมีบุญมีอำนาจวาสนาบารมีเขาทำสิ่งใดแล้วเขาประสบความสำเร็จของเขา คนที่ด้อยอำนาจวาสนาทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลาน คนที่ขี้ทุกข์ขี้ยากทุกข์ยากจนตาย นี่เรื่องของโลก
แล้วเรื่องของโลก อยู่กับโลกแล้วก็บอกว่าเป็นความไม่เสมอภาค เกิดมาแล้วประชาธิปไตยต้องมีความเสมอภาค เกิดเป็นคนทำไมไม่เสมอภาค
เกิดเป็นคน คนเท่านั้นทั้งนั้นน่ะ แต่อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน แล้วอำนาจวาสนาคนไม่เหมือนกันแล้วถ้าคนมีสติมีปัญญานะ เรื่องโลก เวลาเรื่องโลกมันก็เรื่องของโลกทั้งนั้นน่ะ เวลาประพฤติปฏิบัติเขาจะเอาความจริงๆ ความจริงมันอยู่ที่ไหน
ความจริงทางโลก สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
มันเป็นสิ่งอนิจจัง มันไม่มีอะไรคงที่ทั้งนั้นน่ะ มันแปรสภาพของมัน มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วเราก็ไปหลงใหลกับมันแล้วก็พยายามจะทำให้มันเป็นสมบัติของเราๆ มันก็เลยเป็นความทุกข์ความยากไง นี่เป็นเรื่องของโลก
แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมล่ะ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมมันย้อนกลับมาที่ในหัวใจของเรานี่ เรื่องของธรรม ดูสิ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนะ พระสีวลีเป็นผู้มีลาภมาก พระอะไรจำชื่อไม่ได้ ที่ว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนกันขี้ทุกข์ขี้ยาก ขี้ทุกข์ขี้ยากคือฉันข้าวไม่เคยอิ่มเลย นั่นน่ะพระอรหันต์เหมือนกัน
เวลาเป็นพระอรหันต์มันเป็นที่หัวใจนี้ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่วัดกันเรื่องวัตถุทางโลกนั้น พระอรหันต์ที่มีศักยภาพ พระสีวลีเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มีเดชก็พระอรหันต์ พระอรหันต์ที่มีปัญญาก็พระอรหันต์ พระอรหันต์ที่ว่าทางโลกนี้ขี้ทุกข์ขี้ยากนั่นก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน คำว่า “พระอรหันต์” ธรรมเหนือโลกๆ มันอยู่ในใจนี้ ถ้าอยู่ในใจนี้ เห็นไหม
ปัญหานี้มันเป็นปัญหาเรื่องโลกๆ เขาบอกว่า เพียงแค่นิ่งก็สร้างโอกาสมหาศาล ถ้าสร้างโอกาสมหาศาล เพียงแค่นิ่ง เขาว่าถ้าเวลาเขาใช้สติปัญญาของเขา พอจิตมันนิ่งแล้วมันเห็นไง เห็นว่าไปกู้หนี้ยืมสินต่างๆ มาแล้วมันมีปัญหา นั่นน่ะแค่จิตนิ่งก็มีค่ามหาศาล
เวลามันเกิดปัญญามันเกิดปัญญาอย่างนี้ มันเกิดปัญญาอย่างนี้เหมือนกับทางโลกที่เราปฏิบัติกัน ปฏิบัติเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ ถ้าบรรเทาทุกข์ เราให้คลายจากทุกข์ สิ่งที่มีทุกข์มียาก ธรรมโอสถเข้ามาชำระล้างทำให้จิตใจเราไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป นี่ปฏิบัติพอเป็นพิธี ปฏิบัติพอเป็นทางโลกไง
แต่เวลาถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านจะประพฤติปฏิบัติจริงๆ เวลามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระเอาจริงเอาจัง อดมื้อกินมื้อ จะทุกข์จะยากขึ้นมาเรื่องนี้เป็นเรื่องปลีกย่อยเลย คนเรานะ ถ้ามีเป้าหมายว่าเราจะสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราอยากจะพ้นจากกิเลสไป ไอ้เรื่องสิ่งสภาวะแวดล้อมความเป็นอยู่นี่เป็นเรื่องด้อยๆ เลย เป็นเรื่องแค่อาศัยทั้งนั้นเลย
เพราะเราเกิดมา เราเกิดมาเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าหาใจของตนนะ สิ่งที่มันจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านแสวงหาที่ปฏิบัตินะ ถ้าสิ่งใดที่มันอุดมสมบูรณ์เกินไปท่านคอยหลีกเร้น คอยไปหาที่บ้านเล็กบ้านน้อยมีสองหลังสามหลังพอเพื่อประทังชีวิตเท่านั้นน่ะ
ถ้าเวลาประทังชีวิตเขาก็ทุกข์อยู่แล้ว เห็นไหม ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้เป็นที่เถียงนา เป็นที่เขาไปเฝ้าไร่เฝ้านา มันไม่ใช่เป็นบ้านเรือนที่เขาอยู่อาศัย ความเป็นอยู่มันก็ไม่สมบูรณ์ทั้งนั้นน่ะ
เขาเองเขาก็เพื่อมาพอดำรงชีพเพื่อมาเฝ้าไร่เฝ้านา มีพระมาอยู่อาศัยข้างๆ อีกองค์สององค์อย่างนี้ เขาก็ต้องเจียดของเขาเพื่อมาใส่บาตรของเรา พอใส่บาตรของเรา ต่างคนต่างดำรงชีพ ถ้าวันไหนเขาลืม วันไหนเขาไม่อยู่ที่เถียงนาเขา ไปแล้วไม่เจอใคร วันนั้นก็อดไป
นี่อดมื้อกินมื้อ อดบ้างอิ่มบ้างเพื่อค้นหาหัวใจของตน แล้วอย่างนั้นน่ะภาวนาดี ครูบาอาจารย์เราท่านแสวงหาสิ่งนั้นน่ะ ท่านถึงไม่ทุกข์ไม่ยากเรื่องโลก เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เรื่องทรัพย์สมบัติที่เราปฏิบัติกันเพื่อให้มันสมบูรณ์พูนสุข
นี่พูดถึงว่า “เพียงแค่นิ่งก็สร้างโอกาส”
นี่มันเป็นปัญหาสังคม ปัญหาสังคมเป็นปัญหาสังคมนะ ปัญหาโลกๆ ถ้าเราเอามาพัวพันกันมันก็เลย...
สิ่งที่ว่าเวลาพระเราเวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อสิ้นสุดแห่งทุกข์ ปฏิบัติเพื่อสัจธรรมๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา สัจธรรม สัจธรรมคือพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมนี้เป็นธรรมเหนือโลก มันมีคุณค่ามหาศาล มีคุณค่าจนประเมินค่าไม่ได้
แต่สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่มันประเมินได้ มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นสิ่งที่คำนวณได้ว่ามีมากมีน้อย คำนวณได้ คำนวณได้มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ เรื่องโลกๆ แล้วเราก็คำนวณกัน เอาสิ่งนั้นมาเป็นเหตุ แล้วเราก็ไปปฏิบัติเพื่อมัน ปฏิบัติเพื่อมัน ปฏิบัติเพื่อโลก
นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูด ธรรมเหนือโลก โลกไม่ใช่ธรรม ธรรมไม่ใช่โลก
ถ้าโลกไม่ใช่ธรรม เวลาเราปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปชำระล้าง ไปฆ่ากิเลส กิเลสคือทิฏฐิมานะความเห็นผิดของตน ถ้าความเห็นผิดอันนั้น นั่นคือผลของการปฏิบัติ
แต่ไอ้เรื่องที่ว่าผลจากข้างนอกนี่มันเป็นปัญหาสังคม ปัญหาสังคมก็ต้องแก้ด้วยปัญหาสังคม ปัญหาสังคมของเรา สิ่งที่เป็นสังคมของเรา
เวลาทางโลกเขาระดับของทาน ทำทานแล้วมีบุญกุศล ทำทานแล้วประสบความสำเร็จ นั่นก็เป็นบุญของเขา นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา เขาทำอย่างนั้นเป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเป็นพวกที่เขามาเพื่อผลประโยชน์ของเขา เขาก็พยายามสร้าง กวนน้ำให้ขุ่นไว้ ทุกคนไม่เห็นความเป็นจริง แล้วมันก็จะมีได้มีเสียในนั้นน่ะ
ฉะนั้น เราไม่ไปแบบนั้น เราต้องการทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ถ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจของเรา เห็นไหม เวลาเป็นเรื่องโลก หน้าที่การงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาเราทำหน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานของเรา ทำหน้าที่การงานแล้ว เราเสร็จจากงานแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็ค่อยมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติได้มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไม่ได้มันก็เป็นการบรรเทาทุกข์
โลกนี้ปฏิบัติเพื่อแค่บรรเทาทุกข์ๆ บรรเทาให้มันเบาบางเท่านั้นน่ะ บรรเทาทุกข์ๆ แต่ถ้าเป็นจริงๆ อริยสัจไม่ใช่เป็นอย่างนี้
อริยสัจเวลาเป็นขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ใจ เวลาสมาธิมันเกิดที่ใจ ใจมีคุณค่าขนาดไหน ใจมีคุณค่ามาก ขนาดเขาทิ้งทางโลกเลย เขาจะไปปฏิบัติโดยตรง เอาจริงเอาจังขึ้นมา
เวลาเอาจริงเอาจัง เวลากิเลสมันหลอกนะ ไม่ประสบความสำเร็จมันก็อยากจะออกไปอยู่กับโลกอย่างนั้นน่ะ ฉะนั้น เวลาพระที่มาบวชแล้วพยายามขวนขวายจะประพฤติปฏิบัติตั้งใจจะถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วไปไม่ไหวเขาก็กลับไปเป็นฆราวาสอีก นี่พูดถึงว่าเวลาล้มลุกคลุกคลาน
ทีนี้ผลของการปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติมันปฏิบัติแบบนี้ เราถึงแบบว่า สิ่งที่ว่าเขาพูดมันเป็นเรื่องโลก เราพูดให้มันเห็นว่า สิ่งที่เป็นปัญหาสังคม สิ่งที่เป็นปัญหาทางโลกเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เวลาปฏิบัติธรรม เวลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม สัจธรรมมันเหนือโลก เหนือโลกมันแก้กิเลส
แก้กิเลสไม่ใช่เรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องหน้าที่การงาน ไอ้นี่มันเป็นปัญหาชีวิต มันต้องไปถามพวกตอบปัญหาชีวิต
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมนะ เรื่องเวรเรื่องกรรมเขาวางได้ เขาวางได้นะ เวลาเราทุกข์เรายากเราก็ทุกข์ยาก ทำไมชีวิตเราทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้าชีวิตเราทุกข์ยากแล้วเขาพยายามจะเกิดขันติธรรม อดทน สร้างแต่คุณงามความดี สร้างคุณงามความดี
ถ้าคนสร้างคุณงามความดีแล้ว กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม คนที่เป็นคนดีแล้วทำสิ่งใดแล้วขาดตกบกพร่องหรือขาดแคลน จะมีคนเห็นใจ แล้วคนอยากช่วยเหลือ นี่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม
แต่ถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว เราทำหน้าที่การงานของเราแล้วขาดตกบกพร่อง แล้วเราไปทางโลกๆ นะ มันก็เป็นปัญหาสังคมที่โลกมีอยู่เยอะแยะไปหมดแล้ว โลกเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความดีงามเขาทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตของเขา คนจะช่วยเหลือ นี่เรื่องของบุญ ถ้าเรื่องของบุญ ล้มลุกคลุกคลานแล้วมีคนอุ้มชู ล้มลุกคลุกคลานแล้วมีคนช่วยเหลือเจือจาน นั่นเป็นเรื่องของบุญกุศล
แต่เรื่องการปฏิบัติๆ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา ให้แยกออก เราจะแยกออกให้ว่าโลกกับธรรมๆ
นี้ปัญหาโลกๆ ทั้งนั้น ปัญหาโลกๆ ไม่เอา มันจะยืดเยื้อ แล้วเขียนมา ๓ หน้า ๔ หน้า เขียนมา ๓ หน้า ๔ หน้าเลยกลายเป็นปัญหาสังคมไปเลย วัดไม่ใช่ตอบปัญหาชาวบ้าน
วัดเวลาจะตอบปัญหา ปัญหาในการปฏิบัติ ใครมีศรัทธาความเชื่อแล้วยังลังเลสงสัยอยู่ จะตอกย้ำว่ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง การปฏิบัตินี้มีผล ถ้าไม่มีผล ศาสนานี้เกิดมาได้อย่างไร
ศาสนานี้เกิดมาได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะเวลาฟังธรรม ธัมมจักฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีดวงตาเห็นธรรม นี่หลักมันอยู่ที่นี่
ไอ้นั่นระดับของทาน ระดับของโลก ระดับของโลกให้อยู่ระดับของโลก เห็นไหม เวลาไปวัดไปวาอยากได้วัดปฏิบัติ อยากได้วัดดีๆ แล้วเวลาตอบปัญหาก็ปัญหาทางโลกเอามาทับถม เวลาทับถมขึ้นมามันก็ช่วยเหลือเจือจานเรื่องโลก ถ้าช่วยเหลือเจือจานเรื่องโลกนะ
วางสิ่งนั้นให้หมดแล้วมาอยู่วัด วัดมีข้าวเลี้ยง มาอยู่วัดรับรองได้ชีวิตนี้อยู่ได้สบายเลย ถ้าปัญหาชีวิต ปัญหาชีวิตมันมีแค่นี้ ฉะนั้น สิ่งนั้นให้มันจบสิ้นกันไป ถ้ามันจบสิ้นกันไปแล้ว ถ้าเป็นธรรมะ ตอบ ถ้าเป็นปัญหาชีวิต ปัญหาเรื่องสังคม ไม่ตอบ จบ
ถาม : เรื่อง “น้อมกราบเรียนถามเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลเจ้าค่ะ”
น้อมกราบพ่อแม่ครูจารย์เป็นที่เคารพอย่างสูง ลูกเป็นศิษย์เริ่มปฏิบัติใหม่ ฐานะทางบ้านก็เป็นคนชั้นรากหญ้า คือทุกวันนี้ลูกพยายามรักษาศีล ๕ อยู่เจ้าค่ะ แต่ลูกซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมันผิดศีลข้อ ๕ ไหมเจ้าคะ
แล้วเมื่อวันที่ ๑ ลูกบังเอิญถูกสลากเลขท้ายสองตัวและสามตัวได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ลูกตั้งใจว่าจะนำเงินไปร่วมบุญกฐินตามวัดต่างๆ ทั้งหมด แต่มีคนบอกว่าบุญได้น้อยเพราะเป็นเงินที่ได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์ คือเป็นเงินที่ได้มาจากการเล่นหวย แต่ลูกจะทำเจ้าค่ะ
ลูกจึงอยากขอความเมตตาจากพ่อแม่ครูจารย์ช่วยแก้ข้อสงสัยทีค่ะ สรุปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลผิดศีลหรือเปล่าเจ้าคะ ถ้าผิด ลูกก็จะเลิก
ตอบ : ผิด มันผิดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มาถามอะไร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนี่มันปลายเหตุ
เวลาต้นเหตุขึ้นมา เวลาต้นเหตุ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่ทำเรื่องนี้ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านก็ไม่ทำเรื่องนี้ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติไปมันจริตนิสัยของคน บางคนไปเห็นเลขชัดๆ เห็นต่างๆ เขาไม่พูด เขาเก็บไว้ในใจทั้งนั้นน่ะ
เวลาเห็น เวลาปฏิบัติรู้เห็นสิ่งใด รู้เห็นสิ่งใดมันก็เป็นอำนาจวาสนาของคนใช่ไหม รู้เห็นสิ่งใดก็คือการรู้เห็น รู้เห็นแล้วมันจะมีได้มีเสีย ถ้ามีได้มีเสียแล้วมันไม่เป็นผลดีใดๆ ทั้งสิ้น
ในการประพฤติปฏิบัติธรรมไม่มีได้มีเสียนะ ไม่มีได้มีเสียกับโลก มีแต่เราเท่านั้น มีแต่เราเท่านั้นจะละจะถอดจะถอนในใจของเราเท่านั้น
เวลาเริ่มต้นตั้งแต่ผู้ที่เขารู้เขาเห็นนะ ถ้าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเขาก็เก็บไว้ในใจของเขา เขาไม่พูดหรอก มันมีกรรมไง มีได้มีเสียมันมีแพ้มีชนะ ถ้ามีแพ้มีชนะขึ้นไปแล้วมันกระทบกระเทือนไปทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะสั่งไว้เลย ไอ้เรื่องเห็นนู่นเห็นนี่ท่านไม่ให้เห็นหรอก หรือถ้ามันเห็น มันเห็นโดยวาสนาของคน ถ้าเห็นก็เก็บไว้ภายใน คือคนที่มันมีสติมีปัญญาเห็นแล้วมันไม่เดือดร้อนไง
ไม่เหมือนเราไอ้ขี้ครอก มีเงินบาทหนึ่งอยากจะโชว์ ไอ้พวกขี้ครอกมีเงินไม่ได้นะ มีเงินนี่อวดทันที ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไปรู้เห็นอะไรหน่อยอยากอวดๆ
เวลาครูบาอาจารย์เราท่านไม่ใช่ขี้ครอก ท่านปฏิบัติท่านรู้ท่านเห็นของท่าน เห็นก็คือเห็น เห็นก็เก็บไว้ในใจ ท่านไม่พูดไม่ใดๆ ทั้งสิ้น เห็นก็คือเห็น เห็นแล้วก็แล้วกันไป แต่มันจริงไม่จริง จริงไม่จริงหมายถึงว่ามันถูกหรือไม่ถูกนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
แม้แต่ผู้ที่เขารู้เขาเห็นจริงเขายังไม่พูดเลย ทีนี้สิ่งที่พูดออกมาแล้ว เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาพูดไปแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นกรรมฐานนะ ท่านบอกว่า ใครภาวนาเป็นแล้วห้ามคุยกัน
เวลาคุยกัน เราภาวนา เวลาภาวนาแล้วจิตมันสงบ อวดๆ คุยโม้กัน พอคุยโม้ไปแล้ว พอเสร็จ พอจะกลับมาภาวนามันจะเกิดนิวรณ์ เพราะคำพูดทุกคำเราเป็นคนพูด แล้วพอมาปฏิบัติมันจริงหรือไม่จริง ถ้าจริงไม่จริง ไอ้ที่พูดไปมันเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ แล้วพูดออกไปมันเป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติ อู๋ย! เดี๋ยวเถอะ มีปัญหามากไปหมด
เราพูดอะไรออกไปก็แล้วแต่ เราเป็นคนพูดเอง เราเป็นคนพูดเองนะ กิเลสมันจะเอาอันนั้นแหละมาเป็นเหยื่อ แล้วมันก็กระทุ้งไง ไอ้นู่นไอ้นี่ ไอ้นี่ไอ้นั่นนะ เดี๋ยวก็ป่วน นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านถึงไม่ให้พูด ส่วนใหญ่แล้วไม่ให้พูด
จะให้พูดต่ออาจารย์เท่านั้น จะให้พูดต่ออาจารย์ของตน เวลาปฏิบัติขึ้นไป ดูสิ หลวงปู่มั่น เวลาลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติ “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” ท่านจี้เลยนะ “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” จิตดีจิตไม่ดีท่านเช็กหมดนะ แล้วเพื่อประโยชน์
ทีนี้มันก็เป็นที่วาสนา วาสนา หมายความว่า เวลาผู้ที่มีอำนาจวาสนาเวลาปฏิบัติแล้วมันก็มีหนทางให้เดิน ปฏิบัติแล้วมันก็มีผลมีงานของมันขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันใช่ไหม
เวลาคนที่ไม่ปฏิบัติ เป็นคนที่ปฏิบัติแต่ไม่มีอำนาจวาสนา แต่เราเกิดมาในชาตินี้เราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นนิสัยวาสนาของเราไป เราก็พยายามปฏิบัติวางเป็นพื้นฐานหัวใจเราไป อย่างนี้ท่านไม่ค่อยจี้ ไม่ค่อยถาม เพราะถามแล้วเขาจะเครียดของเขา
แต่คนที่เขาจะเป็นประโยชน์ท่านจะคอยถาม “จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” มีแต่ว่าอาจารย์ของตนคอยเช็กคอยดูคอยแล
แต่ถ้าผู้ที่เขาปฏิบัติถ้าเขารู้เห็นสิ่งใด สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ อาจารย์จะคอยกระหนาบเลย นี่ควาญประจำช้างๆ ในการปฏิบัติมันมีควาญประจำช้างรักษาช้างนั้น ช้างที่มันตกมัน
หัวใจเรามันเปรียบเหมือนช้างที่ตกมันมันฟาดงวงฟาดงา มันทำแต่ความพอใจของมัน ไม่มีใครเอามันไว้ในอำนาจได้ ควาญประจำช้างก็คอยแนะคอยบอก คอยลงปฏัก ไอ้เราไม่รู้เรื่อง เราก็อาศัยควาญช้างช่วยดูแล นี่ครูบาอาจารย์ของเรา
นี่เขาถามว่า การซื้อหวยมันผิดไหม
ผิด คนที่เขารู้เห็นจริงเขายังไม่พูดเลย ไม่พูดหรอก ไอ้ที่เขาให้ๆ กันนั่นน่ะมันถูกเท่าไร มันผิดเท่าไร แล้วมันเป็นอะไร มันก็เป็นหาชื่อเสียง หาเงินหาทองทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ทำอย่างนี้ ไม่ทำแบบนี้
ฉะนั้น ซื้อหวยรัฐบาลผิดหรือไม่
ผิด
ฉะนั้น เขาบอกว่าเขาเป็นคนรากหญ้า เขาก็ซื้อหวยรัฐบาล แล้วบังเอิญมันถูก พอถูกแล้วจะเอาเงินไปทำบุญ เขาบอกว่าเงินมันไม่บริสุทธิ์ แล้วทำอย่างไร
สิ่งที่เขาไปวัดไปวา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาก็ทำบุญกุศลของเขา คนที่เขามีสติปัญญาของเขา เขาไปวัดไปวา เก็บขยะ เขาทำสิ่งใดนั่นก็เป็นบุญของเขา บุญมันเป็นได้หลากหลายนัก การทำคุณงามความดีเป็นได้หมดเลย
อย่างเช่นตอนนี้จิตอาสาๆ จิตอาสา คนที่จิตใจเป็นบุญ จิตใจที่เขาขันอาสา ถ้ามีแต่จิตอาสา มีแต่คนมีน้ำใจต่อกัน มันสังคมรื่นเริงทั้งนั้นน่ะ
ที่มันมีปัญหากันเพราะอะไรล่ะ เพราะต่างคนต่างทิฏฐิมานะ ต่างคนต่างแย่งชิงกัน ปาดหน้าๆ มีแต่เรื่องกันตลอด ถ้ามันจิตอาสานะ เชิญ บริการต่างหาก เปิดทางโล่งให้เลย เชิญๆ
นี่ก็เหมือนกัน จะบอกว่า ถ้าเราเป็นคนรากหญ้า เราเป็นคนรากหญ้า เรามีน้ำใจเราทำอะไรก็ได้ที่เป็นบุญกุศล ไม่ใช่ต้องมีเงินถวายเงินเท่านั้นถึงจะเป็นบุญ
โอ๋ย! ถ้าเงินถวายเป็นบุญเท่านั้น ตอนนี้มีปัญหานะ เครื่องยนต์กลไกชำรุดหมด ไฟฟ้าดับหมด มีแต่เงินเต็มไปหมดเลย จะให้มันกินกระดาษ ให้มันกินกระดาษกัน
เงินมันกินไม่ได้ สิ่งนี้บุญมันจากกำลังของเรา จากสติปัญญาของเรา จากน้ำใจของเรา นี่มันก็เป็นบุญทั้งนั้น นี่พูดถึงว่าถ้าจะเป็นบุญนะ
ทีนี้บอกว่าเป็นคนรากหญ้า เห็นเขาทำบุญกันก็อยาก
มีคนคิดอย่างนี้นะว่า เราเป็นคนอัตคัดขัดสน เวลาเห็นเขาทำบุญกันเราก็อยากจะทำเหมือนเขา แต่เราไม่มีโอกาสก็มาน้อยเนื้อต่ำใจไง ก็อยากจะทำแบบนั้น
แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา การนั่งภาวนาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บุญมากที่สุด นั่งภาวนาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่บุญที่สุด บุญเพราะอะไร
บุญเพราะว่า ถ้าจิตมันสงบมันมีสติมันมีปัญญา ปัญญามันผ่องใส มันคิดมันรู้มันแจ้งหมดเลย ไอ้ที่จะไปถามปัญหาคนนู้น ไปถามปัญหาคนนี้ ไม่ต้องถามเลย ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้ขึ้นมาจากภายในเลย พุทธะ พุทธะเกิดจากภายในเลย
อันนี้พูดถึงว่า ถ้าจะทำบุญไม่ใช่ทำบุญเฉพาะได้เงิน ทำบุญนั่งลง หลับตา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันสงบระงับขึ้นมาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานกลางหัวใจเลย
แล้วถ้าคนที่ทำความสงบของใจได้เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วนะ จะลงจะเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เต็มหัวใจเลย เพราะสิ่งที่มันมีค่าที่สุดมันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าที่สุดมันอยู่ข้างนอก นี่ไปแสวงหาข้างนอกไง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า พอบอกว่าสิ่งที่เขาเป็นรากหญ้าซื้อสลากกินแบ่งผิดไหม
ผิด
แต่ซื้อแล้วถ้ามันถูกรางวัลขึ้นมานี่หนูอยากทำบุญ
ถ้าหนูอยากทำบุญ เราจะบอกเลย โอ๋ย! มาเลยๆ มาทำที่นี่...ไม่ใช่
เราอยากจะทำบุญเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่คนเขาอยากได้บุญกุศล ถ้าอยากได้บุญกุศล เราก็ทำของเรา
แต่ถ้าพอจะทำของเรา เพื่อนฝูงเขาบอกว่าทำแล้วได้บุญน้อย
ได้บุญน้อยหรือได้บุญมากมันอยู่ที่เจตนา อยู่ที่ความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา
ไอ้อย่างที่ว่าซื้อหวยรัฐบาลผิดไหม
ผิด ผิดเพราะอะไร ผิดเพราะเป็นการพนันขันต่อ สิ่งที่การพนันขันต่อ สิ่งที่เรื่องเป็นนักเลงการพนัน เรื่องต่างๆ เป็นอบายภูมิทั้งนั้นน่ะ อบายภูมิทำให้เราลงไปสู่อบายมุข อบายมุข อบายภูมิ มันไปนู่นทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้าเป็นศีลเป็นธรรมเขาไม่ทำ ถ้าไม่ทำแล้วชีวิตมันจืดชืด ชีวิตมันไม่ตื่นเต้น ชีวิตมันไม่มีสิ่งใดเป็นเป้าหมาย
เป้าหมายของเราก็ความสงบของใจนี่ไง เป้าหมายของเราก็คือชีวิตที่ดีงามนี่ไง เป้าหมายของเราก็สิ่งที่มีคุณธรรมในหัวใจนี่ไง ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจอันนี้ของจริง ถ้าของจริงขึ้นมา ความเป็นจริงอย่างนี้ ผู้มีศีลมีธรรมในใจ ถ้าผู้มีศีลมีธรรมในใจ
เพราะเราเป็นคนรากหญ้ามันไม่มีโอกาสอย่างนั้น
คนรากหญ้าทำอะไรก็ได้ ในวัดในวาหรือในบ้าน ดูสิ คนจากทางอีสานเขาปลูกต้นไม้ริมทาง เขาไปวัดที่ไหนเขาปลูกต้นไม้ริมทางตลอดของเขาเลย จนสังคมต้องยอมรับเขา
มีหลายคนมากนะที่แบบเขาพยายามปลูกต้นไม้ ที่ดูแลป่าชุมชน ป่าชุมชนนั้นให้เป็นที่เก็บอาหาร ให้เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตของหมู่บ้าน ไอ้คนหมู่บ้านที่มันมีทิฏฐิมานะว่ามันเป็นยอดคนมันยังต้องไปเก็บเห็ดกินที่ของเขา นั่นคนอย่างนั้นน่ะ
นี่ไง ถ้าเป็นคนรากหญ้าๆ ทำคุณงามความดีได้ทั้งนั้นน่ะถ้าหัวใจเราเป็นธรรมนะ
ไอ้นี่พอบอกว่าเราเป็นคนรากหญ้า เราไม่มีเงินจำนวนมากๆ ไปเทียบเคียงกับเขา
แล้วเราทำไมต้องไปเทียบเคียงกับเขาล่ะ เราเป็นคนรากหญ้าเราก็เป็นคน ศาสนาพุทธสอนเรื่องหัวใจของมนุษย์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของคน คนมีค่าเท่ากัน คนเท่าคน นั่งสมาธิด้วยกันทุกคน ใครจิตลงสมาธิบ้าง จิตใครมีคุณภาพบ้าง เขาวัดกันตรงนั้น เขาไม่ได้วัดเราเป็นรากหญ้าหรือเราอยู่บนยอดหญ้า
เราเป็นรากหญ้าเราก็เป็นรากหญ้าของเรา แต่พูดถึงว่าสิ่งที่เล่นการพนันผิดแน่นอน ทีนี้พอได้เงินมา เงินที่มันผิดมา เงินที่มันผิดมาจะทำบุญ
จะทำบุญมันก็เป็นสิทธิ์ของเรา ถ้าเขาบอกว่ามันได้บุญมากได้บุญน้อย นั่นมันปากเขา ไอ้นี่มันเงินของเรา นี่เงินของเรา เงินได้มาถูกได้มาผิดนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ มันผิดมันได้มาด้วยการพนันขันต่อ ว่าอย่างนั้นเลย แต่เงินได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือถ้ามันจะเป็นบุญขึ้นมา ไม่ต้องเงินก็ได้ เห็นเขาทำบุญ อนุโมทนากับเขาก็ได้
บุญนี่เกิดได้มากมายเลยถ้าคนมีสติปัญญา ไม่ต้องเอาจำนวนตัวเลข ไม่ต้องเอาจำนวนเงินมาวัดกัน วัดกันตรงค่าของน้ำใจ ค่าของน้ำใจมันมากขึ้น แล้วค่าของน้ำใจมันมีปัญญาขึ้นมาแล้วนะ มันไม่มีนิวรณ์ไง มันไม่มีอะไรตกค้างในใจไง นั่งสมาธิมันก็ทำง่าย ทำอะไรมันก็ทำได้
ลองมันมีอะไรตกค้างในใจสิ ทำอะไรมันทำไม่ได้หรอก นั่งอยู่นี่ โอ้โฮ! ใจนี้ลุกเป็นไฟเลย ข้างนอกนี่สงบ ข้างในเดือดพล่านเชียว นี่กรรมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ
ไอ้ของเราให้ข้างในมันสงบ ให้ข้างในสงบแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา มีสมาธิเดี๋ยวเกิดปัญญา แล้วปัญญาเกิดขึ้นมาๆ มันจะเห็นค่าตรงนี้ไง แล้วมีค่าอย่างนี้
เขาบอกว่าเขาเป็นคนรากหญ้า แต่เขาซื้อหวยรัฐบาล
ไอ้ที่ซื้อหวยรัฐบาล เก็บเงินไว้ทำประโยชน์กับเราดีกว่า เพราะเราเป็นคนรากหญ้า เราเป็นคนรากหญ้าเราต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งใดที่ประหยัดได้ หวยใบหนึ่ง ๘๐ บาท มันก็ซื้อมาม่า ซื้อผงซักฟอก ซื้อสิ่งใดไว้ใช้ในบ้านเราได้เยอะแยะเลย แล้วทำไมต้องไปซื้อหวยรัฐบาล ทำไมต้องไปซื้อหวย ซื้อไปทำไม เสี่ยงโชคไปทำไม
ไม่ต้องไปเสี่ยงโชคจากชะตาชีวิตเราเลย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำของเราจริงจังขึ้นมาเลย
แล้วที่ว่าทำบุญๆ นั่นพูดเป็นการต่อเนื่อง ไม่ได้เห็นแก่ความอยากได้ แต่มันเป็นข้อขึ้นมาว่า เราจะทำบุญแต่มีคนบอกว่าได้บุญน้อย
เวลาซื้อหวยมันก็เป็นความผิด เวลาได้มาแล้วเป็นลาภไปแล้วก็เก็บไว้ใช้ ถ้าจะทำบุญทำอย่างอื่นก็ได้ ทำอะไรก็ได้ บุญคือทำความดี บุญคือกุศล กุศลคือการทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีเรื่องอะไรก็ได้
ไม่จำเป็นว่าเราซื้อหวยมาทั้งชาติไม่เคยถูกเลย ถูกขึ้นมาทีหนึ่งจะทำบุญ แล้วทำบุญ คนก็บอกว่าได้บุญน้อยอีกต่างหากนะ อู้ฮู! เสียใจน่าดูเลย
มันทำได้ตั้งแต่มีลมหายใจ จนกว่าลมหายใจมันจะหมดไปมันถึงทำบุญไม่ได้ แล้วไอ้เงินที่ถูกหวยมามันก็แล้วแต่สติปัญญาของคนจะทำประโยชน์ ถ้าทำประโยชน์กับชีวิตของเราเท่านั้นน่ะ ถ้าทำนะ
เขาบอกว่า มีคนบอกว่าถ้าทำบุญแล้วจะได้น้อย เพราะเงินที่ได้มามันไม่บริสุทธิ์ คือเป็นเงินได้จากการเล่นหวย แต่ลูกก็จะทำค่ะ เขาว่าอย่างนั้นนะ
จะทำก็ทำ มันเป็นสิทธิ์ของเรา ถ้าสิทธิ์ของเรา เราก็ทำของเรา เพียงแต่ว่าเป็นคำถามมาใช่ไหม คำถามมา เราก็ตอบ เพราะคำถามถามมาเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย
ไอ้นี่เหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเขาบอกว่า อยากถามให้ช่วยแก้ข้อสงสัยว่า สรุปการซื้อหวยรัฐบาลผิดหรือไม่ผิด
ผิด เล่นการพนันผิดทั้งนั้นน่ะ เล่นการพนันขันต่อมันเป็นทางออก ทางที่จะให้เราไปเรื่อย แต่ถ้าเราไม่ทำ ไม่เล่นการพนัน ไม่ใช่นักพนันใดๆ ทั้งสิ้น มันจะรากหญ้าหรือมันจะมีโอกาสขนาดไหน ทำแต่ความดี
ความดีคือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ คือมีศีลมีธรรม ทำของเรา แล้วใครจะว่าโง่ ใครจะว่าไม่ฉลาด ชีวิตจืดชืด นั่นมันปากสกปรก แต่เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถึงกษัตริย์ ทิ้งราชวังมาเลย มาอยู่โคนไม้ มาใช้ชีวิตแบบวณิพกเพราะยังไม่มีศาสนา ชีวิตที่ไม่มีใครสนใจ
จากชีวิตหนึ่งที่ชี้นิ้วได้เลย เป็นกษัตริย์นี่ชี้นิ้วได้ทุกอย่างเลย สละทิ้งเลย ออกมาเป็นวณิพก ออกมาเป็นนักบวช แล้วออกมาประพฤติปฏิบัติ นี่เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง แล้วไม่ต้องไปแยแสกับอะไรเลย ไม่ต้องไปแยแสว่าคนนู้นว่าคนนี้ว่าเลย คนว่าก็ปากของเขา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ มีศีล ๕ เราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นชาวพุทธ เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ ทำคุณงามความดีตรงไหน ทำคุณงามความดี
ที่เกิดมานี่เป็นรากหญ้า เกิดมารากหญ้าเพราะอะไร เพราะเราทำมาอย่างนี้ เรามีวาสนาแค่นี้ เกิดมาแล้วเราไม่น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเกิดมาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาอย่างนี้เพราะมันมีเหตุแค่นี้ เราสร้างเหตุมาได้แค่นี้ มันเกิดมาได้แค่นี้ก็เป็นบุญกุศลของเราได้แค่นี้ สิ่งที่คนที่เขามีมากกว่าเราอย่างนี้เพราะเขาสร้างเหตุเขามาดีกว่าเรา
ถ้าสร้างเหตุ เหตุคืออะไร เหตุก็ทำคุณงามความดีนี่ไง ถ้าเรามีเหตุที่ดีแล้ว ผลมันต้องให้ดีแน่นอน สุคโตๆ ถ้าวันนี้มันดี พรุ่งนี้มันก็ดี
วันนี้เงินเต็มกระเป๋าเลย พรุ่งนี้ก็สบาย วันนี้มีแต่หนี้ พรุ่งนี้เขามาทุบหน้าประตูบ้านเลย
ถ้าเหตุมันดีๆ เราสร้างแต่เหตุที่มันดี ถ้าเหตุที่มันดี ในปัจจุบันนี้สร้างแต่เหตุที่มันดี นี่เกิดมาเป็นรากหญ้า รากหญ้าเราก็สร้างคุณงามความดีของเราก็ระดับของรากหญ้า
แล้วถ้ารากหญ้าขึ้นมา รากหญ้า ดูสิ บิลล์ เกตส์กับซักเคอร์เบิร์ก เขาเรียนอยู่นะ เขาทำงานมาจนเขาเป็นเศรษฐีโลก นั่นคือรากหญ้า รากหญ้าหมายความว่าเขายังไม่มีงานทำเลย แค่เขาคิดเทคโนโลยีของเขาได้แล้วเขาก็ทำของเขา กู้หนี้ยืมสินทำงานจนเป็นเศรษฐีโลก นั่นก็รากหญ้า จากรากหญ้าก็เป็นเศรษฐีโลก
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารากหญ้า รากหญ้าเราก็ทำของเรา เราจะไปตื่นเต้นอะไร
ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นน่ะ กิเลสมันคอยพลิกคอยแพลงไง เราเป็นคนรากหญ้า เราเป็นคนทุกข์คนจน เขาคนรวย ซื้อหวย ถูกหวย
เขาเรียกว่าสามล้อถูกหวย สามล้อถูกหวยพอถูกหวยแล้วนะ ใช้เงินจนหมดแล้วก็กลับไปถีบสามล้อใหม่ แต่คนถ้าสามล้อมันเปลี่ยนแปลงนะ จากสามล้อมันมีตุ๊กตุ๊ก จากตุ๊กตุ๊กมาเป็นแท็กซี่ จากแท็กซี่มันมีอูเบอร์ มันทำบริษัทของมัน จากสามล้อมันเป็นเศรษฐีได้ จากสติปัญญา จากการกระทำของเขา
ไอ้นี่สามล้อถูกหวย ถูกหวยแล้วก็ฟุ่มเฟือย แล้วก็กลับไปถีบสามล้อใหม่ แต่ถ้าของเราๆ เรารากหญ้าเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา คน เราเห็นความสำคัญของคนมากกว่า เราไม่เห็นความสำคัญของสิ่งทางโลก
โลกมันว่าไปตามนั้นน่ะ แล้วเขาเขียนมาถาม เขียนมาถามแล้วก็จบ นี่พูดถึงว่า เวลาบอกว่าซื้อหวยผิดไหม ผิด แต่หนูถูกรางวัล หลวงพ่อสนใจไหม
เราคิดว่าเขาเขียนมาอย่างนี้ไง เขียนมาเพื่อแบบว่ามันย้อนแย้งกัน ย้อนแย้งกันว่าซื้อหวยผิดไหม ถ้าบอกว่าผิด หนูถูกรางวัลนะ หนูอยากทำบุญ หลวงพ่ออยากได้ตังค์ไหม มันย้อนแย้งกันไง คำถามดูๆ แล้วมันย้อนแย้งกัน
ซื้อหวยผิดไหม...ผิด
แล้วถูกรางวัลให้หลวงพ่อ อยากได้ไหม...ไม่อยาก
ถ้าบอกว่าผิดก็คือผิดตั้งแต่ต้น แล้วไร้สาระด้วย กว่าจะได้เงินมา กว่าจะเอาอกเอาใจญาติโยมขึ้นมาเพื่อให้ถวายเงิน ข้อวัตรปฏิบัติเสียหายไปหมดแล้ว
วัดวัดหนึ่งควรจะเป็นที่ฝึกหัดเป็นชัยภูมิให้กับบุรุษอาชาไนย ผู้ที่เป็นอาชาไนยเขาจะประพฤติปฏิบัติเพื่อมามีคุณธรรมในใจของเขา นี่สถานที่เพื่อไว้ฝึกหัดบุรุษอาชาไนย แล้วก็ต้องมาเพื่อรอรับบริจาคเพื่อจะได้เอาสิ่งนั้นมาเป็นปัจจัยเพื่อไปฝึกบุรุษอาชาไนย ข้อวัตรปฏิบัติล้มเหลว คอยแต่ให้คนเข้ามาวางกล้าม มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
ฉะนั้นว่า ให้หลวงพ่อ เอาไหม
เผาให้หลวงพ่อดูทีสิ เงินน่ะกองตรงนั้นแล้วจุดไฟเผาให้ดูที ถ้าเผาได้เราจะบอกว่า เออ! ใช้ได้
อย่าเอาเรื่องอย่างนี้มาเป็นทางออก ไร้สาระมาก ภาษาเรานะ เรื่องอย่างนี้เรื่องไร้สาระ
แต่เพราะมันมีปม ว่าซื้อหวยผิดไหม...ผิด
แล้วถูกหวยแล้วจะไปทำบุญได้ไหม...ได้
ไม่ทำก็ได้ เอาไปเล่นการพนันต่อก็ได้ ซื้อหวยแล้วถูก ถูกเสร็จแล้วก็ซื้อหวยอีกสองรอบก็ได้ ไม่เห็นเป็นปัญหาเลย เงินของเรา แต่มันเกิดกุศล อกุศล อกุศลคือความมืดบอด กุศลคือความสว่างไสว คือสติปัญญา
นี่พูดถึงสติปัญญาของคนไง ถ้าอับปัญญามันก็มืดบอดเป็นอกุศล ถ้าเป็นกุศลมันก็เกิดปัญญาผ่องใส เกิดความรู้แจ้ง เกิดการดำรงชีวิตที่ดี นี่มันอยู่ที่ปัญญา ปัญญาของคน ถ้าปัญญาของคนมันดีขึ้นมันก็ดีขึ้น
เราจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้าไปสู่ใจของคน เราเป็นคนนะ วัตถุข้าวของมันไม่มีชีวิตหรอก เราเป็นคน จะรากหญ้าจะยอดหญ้าก็คน เรามองที่คนนะ
ทีนี้ถ้ามองที่คนแล้ว คนมันมีแบบว่าต่ำทรามกับสูงส่ง ต่ำทรามคือว่าพาล เวลาจิตมันพาลวุ่นวายมาก มีแต่ปัญหาไปหมด ถ้าจิตสูงส่ง มนุสสเทโว อย่างนี้สุดยอด ถ้ามันดี มันดีตรงนั้น
มองดูที่คน คนมันมีพาลชนกับบัณฑิต มันก็ยังเป็นไปอีกนะ เวลาว่ามองที่คน คนนี้มีคุณค่ามาก แต่พาลชนนะ มันเบียดเบียนมันทำลายวุ่นวายไปทั้งนั้น สังคมสะเทือนไปหมด แต่ถ้าเป็นบัณฑิตมันจะดี มันจะเป็นประโยชน์
ถ้ามองคนแล้วยังแยกไปตรงนั้น แยกไปที่ว่า กิเลสหนา ปัญญาหยาบ กับจิตผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นอาชาไนยเพื่อจะเอาตัวรอด นี่พูดถึงคน เอวัง